ใครๆ ก็อยากมีความสุข.. ใครๆ ก็อยากมีรอยยิ้ม.. ใครๆก็อยากมีเสียงหัวเราะ
เวลา
พูดถึงเรื่องความสุข ใครๆ ก็ปรารถนา และก็มองว่าเป็นเรื่องดี
แต่ก็ดูเหมือนว่าในยุคนี้ผู้คนกลับมีความสุขลดน้อยลงตรงกันข้ามกลับมีภาวะ
ความเครียดมากขึ้น
และ ท่ามกลางความเครียดครองเมือง
ผู้คนก็ยิ่งมีความสุขได้ยากขึ้น ความสุขที่มีก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ
เป็นการแสวงหาความสุขเพียงเพื่อสนองตอบความต้องการเพียงชั่วครั้งคราว
และ...ความ
สุขที่ลดลงก็ส่งผลให้เด็กๆ ได้รับผลกระทบไปด้วยดิฉันเองอยู่ในวงการสื่อสำหรับเด็กและครอบครัวมายาวนาน
ถ้ามีการจัดงานเสวนาหรือสัมมนาหัวข้อประมาณว่า
"เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข"
พ่อแม่มักจะให้ความสนใจน้อยกว่าหัวข้อในท่วงทำนองที่ว่า
"เลี้ยงลูกอย่างไรให้เก่ง" หรือ "เลี้ยงลูกให้ฉลาดได้อย่างไร"
อยู่เสมอ
ส่วน
หนึ่งก็เพราะเรื่องความสุขถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ยาก
เป็นเรื่องที่พ่อแม่สามารถจัดการได้เอง แต่พอเอาเข้าจริง เด็กยุคนี้เติบโตขึ้นมา
ท่ามกลางภาวการณ์แห่งความตึงเครียด ทั้งปัญหาสภาพแวดล้อม
ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการศึกษา ปัญหาการเมืองฯลฯ
ผู้ใหญ่ เองก็เครียด
แล้วไยเด็กจะไม่เครียดเล่า...!!จริงอยู่
เราคนเป็นพ่อแม่ต่างก็ปรารถนาอยากให้ลูกมีความสุขเพราะเมื่อลูกมีความสุข
นั่นหมายความว่า จะทำให้มีการหลั่งสารแห่งความสุข ที่เรียกว่า Endorphins
(เอ็นดอร์ฟิน)
ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าสารเอ็นดอร์ฟินเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการเสริมพลังด้านบวก
(Positive reinforcement) โดยปริมาณของสารเอ็นดอร์ฟินในพลาสมามีความสัมพันธ์กับความรู้สึกสบายรู้สึกมีความสุข
อารมณ์ดี
และเมื่อเด็กมีความสุข อารมณ์ดี ก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพจิตดีกินได้ นอนหลับ
และเมื่อนอนหลับก็จะทำให้มี Growth ฮอร์โมนซึ่งทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดี
สุขภาพร่างกายแข็งแรง อีกทั้งความสุขจะส่งผลให้สมองได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ฉะนั้น
พ่อแม่จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสุขให้แก่ลูกได้ดีที่สุด
แล้วจะสร้างความสุขให้ลูกได้อย่างไร
หนึ่ง สร้างทัศนคติของผู้ใหญ่
ต้องเข้าใจว่าเด็กกับความสุขเป็นของคู่กัน เด็กมีความสุขกับสิ่งง่ายๆ รอบตัว
โดยเฉพาะเด็กเล็กสามารถยิ้ม หัวเราะได้อย่างมีความสุข
มองทุกสิ่งอย่างในโลกใบนี้เป็นเรื่องสวยงาม
แต่หลังจากนั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวเด็กว่าจะได้รับการเลี้ยงดูและประสบการณ์
อย่างไรในการดำรงชีวิต และการมีทัศนคติต่อเรื่องความสุขอย่างไร
นั่นก็ไม่พ้นคนเป็นพ่อแม่ ที่น่าเศร้าใจก็คือเด็กยิ่งโต ความสุขจะยิ่งลดลง
สอง สร้างความสุขจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ให้ลูกได้เรียนรู้ความสุขจากธรรมชาติ จากสภาพแวดล้อมใกล้ตัว
ถ้าภายในบ้านหรือรอบบริเวณบ้านมีสวนหย่อม หรือมีบริเวณ
หรือพื้นที่เล็กๆก็ให้ลูกได้ชื่นชมความงามจากธรรมชาติ
หรือถ้าเลี้ยงสัตว์ภายในบ้านก็ให้ลูกได้เรียนรู้ธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงภาย ในบ้าน
เป็นการได้เรียนรู้จักสรรพสิ่งรอบๆ ตัว
เท่ากับเป็นการสอนให้ลูกได้ซึมซับความสุขสงบจากธรรมชาติ จากสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน
ดูจะเป็นเรื่องง่ายๆ
แต่ความเรียบง่ายเหล่านี้จะทำให้เด็กได้ซึมซับและเรียนรู้การค้นพบความสุข
จากด้านในของจิตใจ
สาม
สร้างความสุขจากการเล่น การให้ลูกได้วิ่งเล่น ได้ออกกำลังกาย
ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเล่นนอกบ้าน หรือเล่นของเล่นเด็กก็สามารถมีความสุขได้มากมาย
เพราะการเล่นของเด็กทำให้เด็กได้เรียนรู้ ได้รับความสุข บางครั้งก็เล่นบทบาทสมมติ
การเล่นของเด็กก็คืองานชนิดหนึ่ง
แต่
ด้วยค่านิยมคลาดเคลื่อนของผู้ใหญ่ที่เข้าใจว่าการเล่นเป็นเรื่องไร้สาระ
หรือต้องเล่นเพื่อพัฒนาสมองอย่างเดียว โดยมีเป้าหมายอยากให้ลูกเก่ง
ก็จะทำให้การเล่นกลายเป็นเรื่องไม่มีความสุขไปได้
สี่
สร้างความสุขจากการเรียนรู้ ตราบใดที่เป้าหมายการเรียนรู้ของเด็กคือการเรียนเก่ง
การแข่งขันทางด้านการศึกษา ทางวิชาการอย่างเดียว
ก็ยากที่เด็กจะได้มีความสุขจากการเรียนรู้
ตรงกันข้ามเด็กก็จะเต็มไปด้วยสภาพความเครียด เพราะต้องมุ่งไปที่การแข่งขันและทำตามความคาดหวังของคนเป็นพ่อแม่มากกว่า
แต่ ต้องให้เด็กได้เรียนรู้จักโลกภายนอกห้องเรียน
และเรียนรู้ทักษะชีวิตอื่นๆ อย่างรอบด้าน และการเรียนรู้ ในด้านอื่นๆ
เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้รู้จักตัวเอง ว่าตนเองถนัดสิ่งใด ทำอะไรได้ดี
และมีความสุขในการทำสิ่งใด
ห้า
สร้างความสุขจากความรักความอบอุ่นของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
การเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดให้ความรัก
ให้ความอบอุ่นเด็กที่อยู่ท่ามกลางครอบครัวที่มีความสุขจะมีความภาคภูมิใจใน ตนเอง
จะเกิดความรู้สึกมั่นคง และความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์จะทำให้เด็กมีความสุข
ขณะ
เดียวกันระหว่างการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างพ่อแม่ลูกอาจเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ
เพื่อให้ลูกรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
ก็เป็นการกระตุ้นสารแห่งความสุขให้หลั่งในสมองของลูกได้อีกทางหนึ่ง
นอก จากนี้
การกระตุ้นพัฒนาการให้ลูก ทั้งการให้ลูกได้เคลื่อนไหว ได้เล่น
ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือกระทั่งการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้
ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังให้สมองลูกทั้งนั้น
เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะทำให้สมองหลั่งสารจำพวกNeurotrophic
Factors (นิวโรโทรฟิก แฟกเตอร์)
สาร
ดังกล่าวเปรียบเสมือนสารอาหารที่หล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทมีความสำคัญอย่างมาก
ในช่วงที่สมองกำลังพัฒนา
โดยทำหน้าที่กระตุ้นในการสร้างเซลล์ประสาทให้แตกแขนงยืดยาวออก
เพื่อป้องกันการตายของเซลล์ประสาท
แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำให้เกิดความสุข
แต่จะเกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้
เมื่อลูกมีความสุขก็จะทำให้สมองหลั่งสารนิวโรโทรฟิกแฟกเตอร์ออกมาเพิ่มขึ้น
ทำให้ความจำและการเรียนรู้ดีขึ้น
เรื่อง
การเลี้ยงลูกให้มีความสุขเป็นเรื่องไม่ยาก ความสุขของเด็กก็สุดแสนเรียบง่าย
แต่ปัจจุบันเด็กกลับมีความสุขไม่ง่าย
ส่วนหนึ่งและเป็นส่วนใหญ่ก็เพราะความคาดหวังของพ่อแม่
แหล่งที่มา สสส / หนังสือพิมพ์ ASTV
No comments:
Post a Comment