Sunday, April 29, 2012

เคล็บลับ เลี้ยงลูกให้มีความสุข

เมื่อมีสุข สมองก็มีประสิทธิภาพ

ใครๆ ก็อยากมีความสุข.. ใครๆ ก็อยากมีรอยยิ้ม.. ใครๆก็อยากมีเสียงหัวเราะ


          เวลา พูดถึงเรื่องความสุข ใครๆ ก็ปรารถนา และก็มองว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็ดูเหมือนว่าในยุคนี้ผู้คนกลับมีความสุขลดน้อยลงตรงกันข้ามกลับมีภาวะ ความเครียดมากขึ้น

          และ ท่ามกลางความเครียดครองเมือง ผู้คนก็ยิ่งมีความสุขได้ยากขึ้น ความสุขที่มีก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เป็นการแสวงหาความสุขเพียงเพื่อสนองตอบความต้องการเพียงชั่วครั้งคราว

          และ...ความ สุขที่ลดลงก็ส่งผลให้เด็กๆ ได้รับผลกระทบไปด้วยดิฉันเองอยู่ในวงการสื่อสำหรับเด็กและครอบครัวมายาวนาน ถ้ามีการจัดงานเสวนาหรือสัมมนาหัวข้อประมาณว่า "เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข" พ่อแม่มักจะให้ความสนใจน้อยกว่าหัวข้อในท่วงทำนองที่ว่า "เลี้ยงลูกอย่างไรให้เก่ง" หรือ "เลี้ยงลูกให้ฉลาดได้อย่างไร" อยู่เสมอ

          ส่วน หนึ่งก็เพราะเรื่องความสุขถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ยาก เป็นเรื่องที่พ่อแม่สามารถจัดการได้เอง แต่พอเอาเข้าจริง เด็กยุคนี้เติบโตขึ้นมา ท่ามกลางภาวการณ์แห่งความตึงเครียด ทั้งปัญหาสภาพแวดล้อม ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการศึกษา ปัญหาการเมืองฯลฯ

          ผู้ใหญ่ เองก็เครียด แล้วไยเด็กจะไม่เครียดเล่า...!!จริงอยู่ เราคนเป็นพ่อแม่ต่างก็ปรารถนาอยากให้ลูกมีความสุขเพราะเมื่อลูกมีความสุข นั่นหมายความว่า จะทำให้มีการหลั่งสารแห่งความสุข ที่เรียกว่า Endorphins (เอ็นดอร์ฟิน)

          ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าสารเอ็นดอร์ฟินเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการเสริมพลังด้านบวก (Positive reinforcement) โดยปริมาณของสารเอ็นดอร์ฟินในพลาสมามีความสัมพันธ์กับความรู้สึกสบายรู้สึกมีความสุข อารมณ์ดี

          และเมื่อเด็กมีความสุข อารมณ์ดี ก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพจิตดีกินได้ นอนหลับ และเมื่อนอนหลับก็จะทำให้มี Growth ฮอร์โมนซึ่งทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง อีกทั้งความสุขจะส่งผลให้สมองได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

          ฉะนั้น พ่อแม่จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสุขให้แก่ลูกได้ดีที่สุด แล้วจะสร้างความสุขให้ลูกได้อย่างไร   

หนึ่ง สร้างทัศนคติของผู้ใหญ่ ต้องเข้าใจว่าเด็กกับความสุขเป็นของคู่กัน เด็กมีความสุขกับสิ่งง่ายๆ รอบตัว โดยเฉพาะเด็กเล็กสามารถยิ้ม หัวเราะได้อย่างมีความสุข มองทุกสิ่งอย่างในโลกใบนี้เป็นเรื่องสวยงาม แต่หลังจากนั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวเด็กว่าจะได้รับการเลี้ยงดูและประสบการณ์ อย่างไรในการดำรงชีวิต และการมีทัศนคติต่อเรื่องความสุขอย่างไร นั่นก็ไม่พ้นคนเป็นพ่อแม่ ที่น่าเศร้าใจก็คือเด็กยิ่งโต ความสุขจะยิ่งลดลง

สอง สร้างความสุขจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ให้ลูกได้เรียนรู้ความสุขจากธรรมชาติ จากสภาพแวดล้อมใกล้ตัว ถ้าภายในบ้านหรือรอบบริเวณบ้านมีสวนหย่อม หรือมีบริเวณ หรือพื้นที่เล็กๆก็ให้ลูกได้ชื่นชมความงามจากธรรมชาติ หรือถ้าเลี้ยงสัตว์ภายในบ้านก็ให้ลูกได้เรียนรู้ธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงภาย ในบ้าน เป็นการได้เรียนรู้จักสรรพสิ่งรอบๆ ตัว เท่ากับเป็นการสอนให้ลูกได้ซึมซับความสุขสงบจากธรรมชาติ จากสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน ดูจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ความเรียบง่ายเหล่านี้จะทำให้เด็กได้ซึมซับและเรียนรู้การค้นพบความสุข จากด้านในของจิตใจ

          สาม สร้างความสุขจากการเล่น การให้ลูกได้วิ่งเล่น ได้ออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเล่นนอกบ้าน หรือเล่นของเล่นเด็กก็สามารถมีความสุขได้มากมาย เพราะการเล่นของเด็กทำให้เด็กได้เรียนรู้ ได้รับความสุข บางครั้งก็เล่นบทบาทสมมติ การเล่นของเด็กก็คืองานชนิดหนึ่ง

          แต่ ด้วยค่านิยมคลาดเคลื่อนของผู้ใหญ่ที่เข้าใจว่าการเล่นเป็นเรื่องไร้สาระ หรือต้องเล่นเพื่อพัฒนาสมองอย่างเดียว โดยมีเป้าหมายอยากให้ลูกเก่ง ก็จะทำให้การเล่นกลายเป็นเรื่องไม่มีความสุขไปได้

          สี่ สร้างความสุขจากการเรียนรู้ ตราบใดที่เป้าหมายการเรียนรู้ของเด็กคือการเรียนเก่ง การแข่งขันทางด้านการศึกษา ทางวิชาการอย่างเดียว  ก็ยากที่เด็กจะได้มีความสุขจากการเรียนรู้  ตรงกันข้ามเด็กก็จะเต็มไปด้วยสภาพความเครียด เพราะต้องมุ่งไปที่การแข่งขันและทำตามความคาดหวังของคนเป็นพ่อแม่มากกว่า

          แต่ ต้องให้เด็กได้เรียนรู้จักโลกภายนอกห้องเรียน และเรียนรู้ทักษะชีวิตอื่นๆ อย่างรอบด้าน และการเรียนรู้ ในด้านอื่นๆ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้รู้จักตัวเอง ว่าตนเองถนัดสิ่งใด ทำอะไรได้ดี และมีความสุขในการทำสิ่งใด

          ห้า สร้างความสุขจากความรักความอบอุ่นของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง การเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดให้ความรัก ให้ความอบอุ่นเด็กที่อยู่ท่ามกลางครอบครัวที่มีความสุขจะมีความภาคภูมิใจใน ตนเอง จะเกิดความรู้สึกมั่นคง และความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์จะทำให้เด็กมีความสุข

          ขณะ เดียวกันระหว่างการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างพ่อแม่ลูกอาจเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกสงบและผ่อนคลาย ก็เป็นการกระตุ้นสารแห่งความสุขให้หลั่งในสมองของลูกได้อีกทางหนึ่ง

          นอก จากนี้ การกระตุ้นพัฒนาการให้ลูก ทั้งการให้ลูกได้เคลื่อนไหว ได้เล่น ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือกระทั่งการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังให้สมองลูกทั้งนั้น เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะทำให้สมองหลั่งสารจำพวกNeurotrophic Factors (นิวโรโทรฟิก แฟกเตอร์)

          สาร ดังกล่าวเปรียบเสมือนสารอาหารที่หล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทมีความสำคัญอย่างมาก ในช่วงที่สมองกำลังพัฒนา โดยทำหน้าที่กระตุ้นในการสร้างเซลล์ประสาทให้แตกแขนงยืดยาวออก เพื่อป้องกันการตายของเซลล์ประสาท แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำให้เกิดความสุข แต่จะเกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้

          เมื่อลูกมีความสุขก็จะทำให้สมองหลั่งสารนิวโรโทรฟิกแฟกเตอร์ออกมาเพิ่มขึ้น ทำให้ความจำและการเรียนรู้ดีขึ้น

เรื่อง การเลี้ยงลูกให้มีความสุขเป็นเรื่องไม่ยาก ความสุขของเด็กก็สุดแสนเรียบง่าย แต่ปัจจุบันเด็กกลับมีความสุขไม่ง่าย ส่วนหนึ่งและเป็นส่วนใหญ่ก็เพราะความคาดหวังของพ่อแม่

แหล่งที่มา  สสส / หนังสือพิมพ์ ASTV



No comments:

Post a Comment