Sunday, August 12, 2012

กีฬา..ยาวิเศษ


ชวนลูกออกกำลังกายแบบไหน เพื่อเสริมสร้างพลังกาย พลังสมอง

ต้น เป็นเด็กชายวัย 11 ที่มีรูปร่างได้สัดส่วน ไม่อ้วนเหมือนก้อนไขมันเดินได้ แล้วก็ไม่ผอมเหมือนไม้ซีก...ข้อสำคัญต้นเป็นเด็กที่มีแววตาแจ่มใส อารมณ์เบิกบานอยู่เสมอ และไม่เจ็บไข้ได้ป่วยให้พ่อแม่เป็นห่วง ต้นเป็นอย่างนี้ได้เพราะเขาชอบเล่นกีฬา และชอบออกกำลังกายค่ะ

แถมเวลาอยู่บ้านต้นยังไม่ชอบเล่มเกม หรือนั่งดูทีวี แต่กลับชอบช่วยคุณพ่อรดน้ำต้นไม้ ช่วยคุณแม่ทำงานบ้าน บางครั้งบางคราวก็อาสาขี่จักรยานไปซื้อของที่หน้าปากซอยซะอีก...ความขยันขัน แข็งแบบนี้ก็เลยกลายเป็นผลดี ทำให้ต้นเป็นเด็กร่างกายแข็งแรงอยู่ในทุกวันนี้

เพื่อนๆ....น่าจะนำวิธีของต้นไปใช้กันดูบ้างนะคะ...เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และสุขภาพใจที่สมบูรณ์ยังไงล่ะ!!!

อยากแข็งแรง...ต้องออกกำลังทุกวัน

จะ ว่าไปการออกกำลังกาย เปรียบไปก็คล้ายยาบำรุงร่างกายสำหรับเด็กๆ ค่ะ แถมยังเป็นยาที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายตังค์ แค่หมั่นสร้างนิสัยลูกๆ ให้เป็นเด็กชอบออกกำลังกายก็พอค่ะ
 
ถ้าจะถามหาข้อดีก็มีมากมาย ซึ่งคุณหมอพิศาล แห่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้ความเห็นในเรื่องการออกกำลังกายเอาไว้ว่า

-
ช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวคล่องขึ้น

-
สร้างกำลัง และความคงทนให้กับกล้ามเนื้อ

-
สร้างความคงทนและความแข็งแรงให้ระบบไหลเวียนโลหิต

-
สร้างความคล่องตัว

-
เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน

แต่ที่มองข้ามไปไม่ได้เลยคือ เป็นเรื่องที่เด็กๆ ควรต้องทำทุกวันค่ะ เพราะคุณหมอบอกว่าความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญมาก

ออกกำลังแบบไหนดีล่ะ...

มีหลากหลายรูปแบบค่ะ สำหรับการออกกำลังกายที่จะทำให้ลูกๆ ใช้เป็นเครื่องช่วยในการเผาผลาญพลังงาน เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย แต่ถ้าจะแบ่งตามหลักทางการแพทย์ ก็มีการจัดหมวดหมู่ให้เลือก

-
การออกกำลังกายที่เป็นรูปแบบ แบ่งออกเป็นการออกกำลังกายทั่วไป ซึ่งหมายถึงประเภทกีฬาที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องลงน้ำหนักที่ใด ที่หนึ่ง อาทิ ว่ายน้ำ และการออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก หมายถึงกีฬาที่เวลาเล่นต้องมีการทิ้งน้ำหนักตัว เช่น บาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล เป็นต้น

-
กิจกรรมเคลื่อนไหวทางกายที่ทำ ในระหว่างวัน หมายถึงกิจกรรมที่ทำให้เด็กได้เคลื่อนไหว หรือออกแรง ออกกำลังกายในวิถีชีวิต อาทิ ทำงานบ้าน ทำงานสวน ฯลฯ
 
"สำหรับการออกกำลังกายที่เป็นรูปแบบ จริงๆ แล้วแทบไม่มีข้อห้ามเลย เด็กๆ จะเล่นกีฬาอะไรก็ได้ แค่ขอให้เขาชอบ และทำต่อเนื่องได้

"
แต่มีเรื่องที่ต้องระวังคือ การปรับตัวต่ออุณหภูมิของเด็กจะไม่ดี ถ้าออกกำลังกายในที่ร้อนจัด เย็นจัด เป็นเรื่องไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกให้เขาออกกำลังกายในที่ที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ รวมถึงกีฬาที่ทำให้เกิดแรงกระแทกมากๆ อย่างรักบี้ ก็ไม่เหมาะสำหรับเด็ก

"
ส่วนกิจกรรมเคลื่อนไหวทางกายที่ทำในระหว่างวัน สำคัญพอๆ กับการออกกำลังกาย ต้องทำทั้งสองอย่างผสมผสานกัน ที่ต้องเน้นตรงนี้ เพราะวิถีชีวิตเด็กยุคใหม่ไม่ค่อยมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เนื่องจากพ่อแม่ไปเน้นเรื่องการเรียน เช้าก็ให้ไปโรงเรียน ตกเย็นยังต้องเรียนพิเศษอีก กลับถึงบ้าน ทานข้าวแล้วก็นอน พอจะทำกิจกรรมก็หนักไปที่เล่นเกมและดูทีวี ซึ่งเด็กไม่ได้ใช้พลังงานเลย เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องกระตุ้นให้ลูกมีกิจกรรมระหว่างวันมากๆ อาทิ ให้ช่วยทำงานบ้าน ฯลฯ

"
อย่างลูกผม วันเสาร์-อาทิตย์ก็ให้เขาว่ายน้ำ หรือไม่ก็ไปวิ่งกับผม ส่วนวันที่เหลือก็ไปขี่จักรยานคือพยายามหาความหลากหลายให้เขา จะได้ไม่เบื่อ

"
ถ้าให้เด็กเรียนหนังสือทุกวันโดยไม่ทำ อะไรเลย พอวันเสาร์-อาทิตย์ก็พาไปเล่นกีฬาอย่างหนัก อย่างนี้เผาพลังงานได้ไม่เยอะ ถ้าเทียบกับตอนเย็นให้เขาช่วยงานบ้าน ทำโน่นทำนี่ หรือถีบจักรยานทุกๆ วัน จะสะสมเยอะกว่า เป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่า"

กระทั่งการละเล่นของเด็กไทย อย่าง ตี่จับ วิ่งเปี้ยว มอญซ่อนผ้า ขี่ม้าส่งเมือง เหล่านี้ก็เป็นกิจกรรมซึ่งล้วนส่งผลดีต่อร่างกาย แต่น่าเสียดายที่วิถีชีวิตยุคใหม่ โดยเฉพาะเด็กในเมืองหมดโอกาสที่จะได้รวมกลุ่มกันทำกิจกรรมเหล่านี้

ถ้าอยากสูงต้อง...

สำหรับกีฬา หรือกิจกรรมประเภทที่จะทำให้เด็กๆ สูง คุณหมอบอกว่า ต้องเสริมในเรื่องการเล่นแบบลงน้ำหนัก

"
อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากให้เด็กออกกำลังกายก็คือ เพื่อสร้างโกรว์ทฮอร์โมน หรือจีเอช(Growth Hormone) ที่ช่วยในเรื่องความสูง

"
ความ จริงการออกกำลังกายทั่วไปก็มีผลต่อโกรว์ทฮอร์โมนเพื่อการเติบโต แต่ถ้ามีการเล่นแบบลงน้ำหนักจะดีกว่าเป็นทวีคูณ เพราะถ้ามีการลงน้ำหนักไปที่มวลกระดูกซึ่งอยู่บริเวณข้อ จะทำให้กระดูกโตได้เร็วขึ้น

"
เพราะฉะนั้น นอกจากจะให้ลูกว่ายน้ำแล้ว คุณก็ควรจะมีการเล่น หรือทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่มีการลงน้ำหนัก เช่น ให้เล่นบาสฯ วอลเล่ย์ฯ และกระโดดเชือกก็จะช่วยเรื่องความสูงของเด็ก

"
การออกกำลังกายนอกจากมีผลกับโกรว์ทฮอร์โมนแล้ว ยังมีผลต่อไทรอยด์ฮอร์โมนที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองด้วยเหมือนกัน แต่ในเด็กวัยทีนเอจจะไม่พัฒนามากเท่าเด็กอายุ 3-5 ขวบซึ่งไทรอยด์ฮอร์โมนจะพัฒนาเต็มที่ในช่วงนั้น

"
แต่ถ้าจะสร้างนิสัยต้องในช่วง 11-14 ปีนี่ละครับ เป็นช่วงที่จะทำให้เขาเริ่มติดเป็นนิสัย เพราะฉะนั้นเราต้องหากีฬาและกิจกรรมที่หลากหลายให้เขาทำ และพยายามให้เกิดการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ โดยการจัดเวลา และกระตุ้นให้เขาทำในสิ่งที่ต้องการเพื่อสร้างนิสัยการออกกำลังกายให้กับ ลูก"

ด้วยวิธีเหล่านี้ละค่ะ ที่จะทำให้คุณได้ลูกชาย-ลูกสาววัยพรีทีนที่แข็งแรงสดใสทั้งกายและใจ
แต่ ถ้าละเลยละก็...คุณคงจะได้วัยรุ่นอ้วนๆ ที่อนาคตมีแนวโน้มที่จะอุดมไปด้วยโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ภูมิแพ้ หลอดเลือดหัวใจ นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม ฯลฯ หรือไม่ก็วัยรุ่นผอมกะหร่องไร้เรี่ยวแรง อย่างที่คุณไม่อยากให้ลูกเป็นแน่ๆ ค่ะ

โดย: รัสมี ภู
จาก: นิตยสาร Life & Family

No comments:

Post a Comment