Saturday, January 5, 2013

เคล็ดลับเลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี


        พื้นฐานเก่ง มีความสุข
 
         การเลี้ยงลูกของพ่อแม่โดยทั่วไป มักจะมีเป้าหมายเดียวกันคือจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่งคนดี และมีความสุข

          แต่หลายๆ ครั้งที่เราเห็นพ่อแม่ไม่มีเวลาพอในการเลี้ยงลูก ทั้งที่ความจริงแล้วพ่อที่ความจริงแล้วพ่อแม่ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเลี้ยง ลูกที่ต้องคิดตั้งแต่ต้นแล้วว่าเมื่อเราพร้อมจะมีลูกและเลี้ยงลูกได้ แม้จะไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงาน จะประสบความสำเร็จหรือต้องมีภาระอย่างอื่นต้องพยายามหาเวลาว่างมาดูแลเลี้ยง ลูกของเราให้ดี มีความสุข และเก่ง อย่างครบถ้วน

          ทำไมเราต้องเลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี แล้วอารมณ์ดีส่งผลต่อความฉลาดของลูกอย่างไร พ่อแม่คงจะมีเป้าหมายเดียวกันในการเลี้ยงลูกอยู่ 3 คำ คือ เก่ง ดี มีความสุข หากเด็กมีเพียง เก่ง และ ดี แต่ไม่มีความสุข เด็กมีแต่ความกังวล มีแต่ความทุกข์ ทั้ง 2 คำแรกก็ไม่สามารถไปพัฒนาคำที่ 3 คือความสุขได้

          ดังนั้นพ่อแม่ควรเลี้ยงลูกให้มีอารมณ์ดี เมื่อเด็กอารมณ์ดีก็จะมีความสุข ส่วนจะช่วยในเรื่องความฉลาดอย่างไรนั้นจริงๆ แล้วความฉลาดจะติดตัวเด็กมาตั้งแต่เล็ก ได้รับถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่ แต่บางครั้งเด็กไม่ได้ใช้ความฉลาดของตัวเองได้เต็มที่ ซึ่งเด็กจะใช้ความสามารถที่เขามีอยู่ได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเด็กมีอารมณ์ดี

          การที่เด็กมีอารมณ์ดีจะเกี่ยวเนื่องในพัฒนาการหลายๆ ด้านของเด็กได้เช่น พัฒนาการทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเด็กมีพื้นฐานอารมณ์ดีจะรับประทานได้ เล่นของเล่น พร้อมเรียนรู้ในด้านต่างๆ ที่จะผ่านเข้ามาได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการกีฬา ดนตรี เป็นต้น ตัวเด็กก็พร้อมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุข เช่น พ่อ แม่ ครู ปู่ ย่า ตายาย หรือเพื่อน เรียกว่ามีพัฒนาการทางด้านสังคม นั่นหมายถึง การที่เด็กอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี เขาก็ต้องมีอารมณ์และทักษะที่ดีทางสังคม หรือเรียกได้ว่าพัฒนาการดีเริ่มจากอารมณ์ที่ดี

          ส่วนความฉลาดหรือไอคิว เป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่ต้นนั้น พ่อแม่มีส่วนที่จะเลี้ยงลูกให้เขาได้ใช้ความฉลาดหรือไอคิวที่มีอยู่ในตัวได้ มากที่สุด พ่อแม่จึงต้องเสนอให้ลูกแสดงและเรียนรู้ ใช้ความสามารถที่มีอยู่ในตัวออกมาให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาการ ดนตรี กีฬา มีปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัว พูดกับลูก เล่นกับลูก ให้ลองเล่นทุกอย่าง ก็เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้เด็กฉลาดได้

          ความฉลาดน่าจะต้องมาคู่กับอารมณ์ดีเพราะถ้าเด็กอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด วิตกกังวล กลัว เด็กจะเรียนรู้ไม่ได้และใช้ความฉลาดที่มีอยู่ไม่ได้ สิ่งนี้ถือเป็นจุดหนึ่งที่พ่อแม่ต้องพัฒนาไปทั้งสองอย่าง และควบคุมพฤติกรรมของลูก ไม่ตามใจลูกจนเกินไป หากลูกหงุดหงิด ก้าวร้าว ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยที่พ่อแม่ไม่ควบคุม เด็กจะจบด้วยการเอาแต่ใจตัวเอง สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นในอนาคตความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉลาดไปก็ไม่มีประโยชน์ หากทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน

          สิ่งใกล้ตัวที่จะทำให้ลูกฉลาดและมีอารมณ์ดีได้คือเมื่อพร้อมที่จะมีลูก รักลูก รู้ใจลูก และเรียนรู้ว่าลูกตัวเองเป็นอย่างไร ชอบหรือถนัดอะไร และต้องมีเวลาให้กับลูก เพื่อจะได้รู้ใจเขาและจัดการได้มากขึ้น นอกนั้นเป็นเรื่องของเทคนิควิธีที่พ่อแม่จะต้องเรียนรู้จากผู้ใหญ่ จากคนรอบข้าง จากสื่อ

          และตัวช่วยอื่นๆ เช่น บุคคลทดแทน เวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ ต้องเป็นคนที่คล้ายคลึงกัน อาจจะเป็นปู่ย่าตายาย หรือเป็นญาติพี่น้อง และโยงต่อไปถึงการเลือกโรงเรียน การดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมของลูก ให้ลูกมีโอกาสเรียนรู้ทุกอย่างที่ควรจะเรียนรู้ ได้ทำทุกอย่างที่เขาควรจะทำ แต่ไม่กดดันสิ่งที่ลูกทำไม่ได้ เมื่อเขาทำดีก็ชมเชย และคอยเฝ้าระวังปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ถ้าเรารู้ตั้งแต่เริ่มต้นก็จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น

          สิ่งสำคัญที่พ่อแม่จะละเลยไม่ได้คือเรื่องสุขภาพและอาหารการกินของลูก ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของลูกโดยตรง เช่น เวลาหิวเขาจะอารมณ์ไม่ดี พ่อแม่ต้องดูแลอาหารให้ครบห้าหมู่ เด็กควรจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์ อร่อยเวลาดื่มนมต้องเลือกที่มีประโยชน์ ปัจจุบันนมมีหลายรสให้เลือก ชอบรสไหนก็ได้ อย่าให้เด็กต้องกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพื่อเสริมให้เด็กสดชื่น พัฒนาร่างกายและสมอง เมื่อได้กินดีเด็กก็จะอารมณ์ดี พ่อแม่ควรเลือกกลุ่มของอาหารที่มีประโยชน์หลายหมู่ให้ลูก บางครั้งจะมีอาหารพิเศษให้บ้าง รสชาติของอาหารก็สำคัญสำหรับเด็กด้วย

          ความสุขของเด็กเป็นส่วนสำคัญ เพราะเด็กต้องมีความสุขเป็น และถ้าเป็นความสุขที่ร่วมกันกับพ่อแม่ด้วยยิ่งดี มีเวลากอดลูก ให้รางวัลเฉพาะพฤติกรรมดี แต่บางครั้งความสุขของเด็กอาจไม่ใช่ความสุขที่พ่อแม่ต้องการ พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกให้เขามีความสุขของตัวเองได้ ถ้าเขาอารมณ์ดีมีความสุข เขาก็จะเก่งและเป็นคนดีด้วย อยู่ได้ในสังคม เป็นคนที่มีประโยชน์ เติบโตอย่างมีความสุขต่อไป


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด / http://www.thaihealth.or.th

No comments:

Post a Comment