Friday, May 17, 2013

14 วิธี เตรียมลูกน้อยเข้าโรงเรียน




           การเข้าเรียนครั้งแรกเป็นเหตุการณ์น่าตื่นเต้น ประทับใจทั้งพ่อ แม่ ลูก จึงต้องมีการเตรียมพร้อมกันพอควร สำหรับการก้าวสู่โลกกว้างของลูกน้อยค่ะ

           โรงเรียนอนุบาลเป็นแหล่งส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เสริมพัฒนาการครบทุกด้าน ให้ความรู้สึกมั่นคง ฝึกฝนนิสัยการกิน การเล่น การดู การฟัง การมีเหตุผล การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันที่พึ่งพาตนเองได้ พร้อมที่จะอยู่กับผู้อื่น หล่อหลอม การเป็นคนดี มีคุณธรรม ไม่ว่าทางบ้านพ่อแม่จะอบรมเลี้ยงดูมาอย่างไร ก็จะมาหล่อหลอมด้วยกันที่โรงเรียนอนุบาล จึงต้องควรเตรียมความพร้อมล่วงหน้า หมอขอแนะนำวิธีดังนี้นะคะ

          
1. การเตรียมตัวเตรียมใจ พ่อ แม่ ลูก ควรพูดถึงการไปโรงเรียนในภาพพจน์ที่ดี มีคุณครูใจดี เพื่อน ๆ น่ารัก ของเล่นสนุก ได้วาดรูป อ่านนิทาน เป็นต้น

          
2. การแต่งตัวไปโรงเรียน ต้องฝึกให้สามารถแต่งตัวได้เองในช่วงเช้าที่รีบเร่งลูกต้องตื่นเช้า เข้าห้องน้ำ ลูกจะค่อย ๆ รู้หน้าที่ คือนอนหัวค่ำ ถ้าจะให้ดีควรได้ 10 ชั่วโมง คือนอน 3 ทุ่ม เนื่องจาก 4 ทุ่มถึงตี 2 จะมีการหลั่ง Growth hormone เต็มที่ เด็กจะพัฒนาสมอง ร่างกาย การเรียบเรียงข้อมูลโดยสมองจะเลือกเก็บข้อมูลที่มีประโยชน์ อย่าให้ลูกนอนดึกจะตื่นสายและขี้เกียจไปโรงเรียน ตื่นเช้าจะสดชื่นพร้อมเรียนรู้ ฝึกให้ลูกจัดข้าวของไปโรงเรียนให้เรียบร้อยก่อนเข้านอน ตอนเช้าจะได้ไม่วุ่นวาย และร้องงอแง พาลให้อารมณ์เสียกันทั้งบ้าน

          
3. การขับถ่ายของลูก วันแรก ๆ ของการเปิดเรียนอาจจะโกลาหล ถ้าไม่ได้ฝึกซ้อมไว้ล่วงหน้าสัก 2 สัปดาห์ ความรีบเร่ง และตื่นเต้นอาจทำให้เด็กท้องผูก หรือไม่ขับถ่ายที่โรงเรียน เด็กหลายคนที่ยังควบคุมการขับถ่ายได้ไม่ดีนัก ควรบอกให้คุณครูทราบ ซึ่งคุณครูและพี่เลี้ยงต้องดูแลเด็กหลายคน ถ้าฝึกให้ลูกควบคุมได้ และบอกได้เมื่อถึงเวลาจะขับถ่าย จะช่วยได้มากค่ะ

          
4. อย่าลืมอาหารเช้า อาหารเช้าสำคัญเป็นพลังสมองและร่างกาย เด็กต้องการอาหารสมองในการเรียนรู้ แต่ธรรมชาติของเด็กเล็กมักโยเยไม่กินอาหารเช้า จึงควรให้เด็กนอนเร็ว ตื่นเช้า และกินอาหารเช้าก่อนเปิดเทอมจริง ถ้าทำไม่ได้ก็เริ่มตั้งแต่วันเปิดเรียนเพื่อปรับความเคยชินให้ลูก อย่ารีบเร่งมากนักเพื่อไม่ให้ทุกคนเครียดในวันแรก อาหารเช้าควรมีคุณค่าทางโภชนาการควรมีนมเสริมอาหารเช้าสัก 1 แก้ว ถ้าปรับเวลาได้เด็กจะกินอาหารเช้าได้ดีค่ะ

          
5. การนอนดึก มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก เด็กนอนดึกจะนอนไม่พอ งอแงในตอนเช้า การเรียนรู้ไม่ดี จนส่งผลต่อศักยภาพในการเรียนรู้และไอคิว อีคิวได้ ดังนั้นพ่อแม่อย่านอนดึกนะคะ เพราะลูกจะนอนดึกด้วย คือวันศุกร์-เสาร์อาจจะอนุโลมได้ ก่อนนอนให้ลูกแปรงฟัน สวดมนต์ ฟังนิทานให้จิตใจสงบ ไม่มีทีวี เปิดดังในห้องนอน หรี่ไฟลงให้ลูกหลับ อาจร้องเพลงให้ฟังหรือเล่านิทาน เล่าเรื่องดี ๆ ของวันแรกในการไปโรงเรียนให้เขาฝันดี

          
6. เริ่มฝึกเรื่องการรักษาเวลาและตรงต่อเวลา เด็ก ๆ มีหลายประเภท คือทำอะไรรวดเร็วหรือยืดยาด ต่อรอง งอแง โดยเฉพาะวันแรกหรือวันจันทร์ ควรให้ลูกเริ่มฝึกวินัยเรื่องกำหนดเวลา เช่น

           ตอนเช้าลูกจะมีนาฬิกาปลุก หรือพ่อแม่ปลุก ควรอาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัวเสร็จในเวลากี่โมง สอนให้ลูกดูนาฬิกาและเวลาของวันด้วย อาหารเช้าเวลากี่โมง ขึ้นรถไปโรงเรียนกี่โมง

          กลับจากโรงเรียนให้ลูกวิ่งเล่นได้ แล้วอาบน้ำกี่โมง เวลาตั้งโต๊ะอาหารกี่โมง ทำการบ้านกี่โมง ดูทีวีได้นิดหน่อย 3 ทุ่ม เข็มนาฬิกาอยู่ที่เลข 9 (สอนลูกดูนาฬิกาด้วย) ลูกควรแปรงฟัน เตรียมเข้านอน

          
7. พ่อแม่เป็นต้นแบบให้ลูกทำตาม ถ้าพ่อแม่รักษาเวลา รักษาระเบียบและกฎเกณฑ์ในบ้านลูกจะทำตาม เมื่อเขาทำความดีคำพูดชมเชยมีประโยชน์ ไม่ทำอันตรายต่อลูก แต่ไม่ตามใจจนลูกทำอะไรไม่ได้ด้วยตนเอง

          
8. ให้ลูกช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ลูกอยู่บ้านเป็นทั้งแก้วทั้งแหวน บางครั้งเราก็ตามใจลูกมาก ไม่ต้องทำอะไรด้วยตนเอง อยากได้อะไรก็ตะโกนเรียกให้ผู้ใหญ่ทำแทน ทำให้ลูกอ่อนแอและไม่พัฒนา จึงต้องให้ลูกแสดงความสามารถ เช่น ลากกระเป๋าเล็ก ๆ หิ้วกระติกน้ำเอง หรือใส่และถอดรองเท้าเอง ถ้าเขาทำได้จะมีความภูมิใจมาก

          
9. ยามลูกเจ็บป่วย ลูกอาจไม่สบายมากขึ้น จากการเดินทางหรือการเข้าเรียน และกิจกรรม อีกทั้งอาจแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น หรือรับเชื้อจากผู้อื่นง่ายขึ้น หากให้คุณครูจัดเด็กป่วยพร้อมกันจะสับสนได้ เมื่อแพทย์แนะนำว่ามาเรียนได้จึงค่อยมา 

                ปีแรกของชีวิตอนุบาลเด็กจะป่วยกันบ่อย ๆ จากโรคหวัด เชื้อไวรัส และอื่น ๆ ปีที่ 2 และ 3 จะป่วยน้อยลงตามลำดับค่ะ

          
10. ลูกบอกความต้องการตนเองให้คนอื่นเข้าใจได้ เด็กที่ไม่คุ้นกับสถานที่ที่ ไม่ใช่บ้าน บางคนไม่บอกความต้องการตนเอง และคุณครูก็ไม่รู้ว่าเด็กต้องการอะไร บางคนเอาแต่ร้องไห้ หรืออาละวาด ต้องฝึกลูกว่าถ้าต้องการอะไรจะต้องบอกว่าอย่างไร เช่น หนูปวดฉี่ ปวดอึ หนูหิว หนูกลัว ก็ให้พูดออกมากับคุณแม่บ่อย ๆ แล้วเขาก็จะพูดให้คุณครูฟังเข้าใจได้

          
11. ลูกควรฝึกการรอคอย เกิดจากการตามใจเด็กมาก อยากได้อะไรต้องได้โดยเฉพาะวัย 3 ปี จึงต้องฝึกฝนเพื่อให้เขาเป็นเด็กดี มีอีคิวที่ดี รอได้ ต้องฝึกที่บ้าน เพราะคุณครูมีคนเดียวเด็กหลายคน จะให้คุณครูดูแลพร้อมกันทุกคนเป็นไปไม่ได้ เวลาจะเล่นก็ต้องมีการต่อแถว จะรอเวลา ซึ่งเด็กจะทำได้ถ้าเข้าร่วมกิจกรรม

          
12. ลูกควรฟังผู้อื่นด้วย เด็กที่พูดไม่หยุด ไม่ฟังใคร ทำให้การเรียนรู้ การเข้ากลุ่มเป็นไปได้ไม่ดี ต้องฝึกให้ลูกรู้จักฟัง เช่น จากการเล่านิทานให้ลูกฟังและแม่ซักถาม ทบทวนว่าจับใจความได้หรือไม่ คุณกับลูก ถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาในแต่ละวัน ให้ลูกเล่าว่าวันนี้เล่นกับใครเล่นอะไรกัน คุณครูอ่านนิทานเรื่องอะไร

          
13. เรียนรู้แบ่งปันผู้อื่น การเล่นกับเพื่อน ๆ แบ่งของเล่นกัน เล่นด้วยกัน ช่วยกันเก็บของเล่น เด็กจะเรียนรู้ทักษะ คือเป็นทั้งผู้รับ ผู้ให้ ฝึกการเป็นผู้นำ เป็น LEADERSHIP ได้ตั้งแต่เด็ก ๆ

          
14. ลูกมีพรสวรรค์ด้านใด เด็กทุกคนมีความ "เก่ง" ที่ซ่อนอยู่ในตัว เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงถึงศักยภาพนั้นหรือไม่ บางคนเก่งทางการเคลื่อนไหวร่างกาย บางคนพูดเก่ง บางคนตลกเก่ง บางคนเงียบ ๆ แต่อ่านนิทานเร็ว บางคนนำกลุ่มเก่ง (มีภาวะผู้นำ) ฯลฯ

           การมาโรงเรียนเด็กจะมาเรียนรู้จากคุณครูและเพื่อน ๆ เป็นการเพิ่มทักษะของตนเอง มีเพื่อนมากขึ้น มีความสุข มีพัฒนาการครบถ้วน ทั้งร่างกายเติบโตแข็งแรง อารมณ์มั่นคง พัฒนาอีคิวและพรหมวิหาร 4 การเข้าสู่คนหมู่มากและสังคมสติปัญญาพัฒนา มีจริยธรรม คุณธรรมสู่ความเป็นเด็กเก่ง ดี มีสุข นั่นเองค่ะ

แหล่งที่มา  http://women.kapook.com/view13494.html, M&C แม่และเด็ก

No comments:

Post a Comment