และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือแก้ไขอย่างเหมาะสมแต่เบื้องต้นด้วย
เพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหาที่รุนแรงยากต่อการแก้ไขภายหลัง โดยหลักสำคัญคือต้องช่วยให้เด็กๆ
รู้จัก และสามารถควบคุมตนเองได้นั่นเอง
การเอาชนะ
หรือทะเลาะ..ไม่ได้ช่วย…
การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมจะต้องเป็นไปด้วยความสัมพันธ์ที่ดีของเด็ก
และพ่อแม่ คือพ่อแม่ต้องแสดงให้เด็กเห็นว่าเขาได้รับความเข้าใจ และเห็นคุณค่า และขณะที่เขาควบคุมตนเองไม่ได้พ่อแม่ก็ต้องช่วยควบคุมให้อย่างเอาจริง
และสงบ โดยไม่ใช้วิธีรุนแรงที่อาจทำให้เด็กยิ่งต่อต้าน และเอาชนะ ซึ่งจะยิ่งทำให้เด็กเลียนแบบความรุนแรง
และการควบคุมพฤติกรรมก็จะเป็นไปได้ยากขึ้น
เคล็ดลับอยู่ที่
Time-out…
วิธีหนึ่งที่ได้ผลดี
คือ time-out
หรือ การแยกเด็กออกจากสิ่งกระตุ้นหรือความสนใจจากสิ่งรอบข้างชั่วคราว
เพื่อให้เขาสงบ และควบคุมตนเองได้ เช่น เมื่อเด็ก 3 ขวบกำลังโกรธ
และจะขว้างปาของ พ่อแม่อาจจับเด็กไปนั่งที่เก้าอี้มุมห้องแล้วบอกว่า “ตอนนี้หนูกำลังโกรธ หนูต้องมานั่งตรงนี้ให้ใจเย็นก่อน” แล้วคุมให้เด็กนั่งเป็นเวลา 2-3 นาที จนสงบจึงปล่อยให้เด็กกลับไปทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ
ขณะที่เด็กถูกแยกอยู่ใน
time-out
บรรยากาศ จะต้องสงบ และไม่มีสิ่งกระตุ้นทั้งในทางบวก และทางลบ นั่นคือจะต้องไม่มีของเล่นให้เล่นหรือมีโทรทัศน์ให้ดู
และจะต้องไม่พูดบ่น หรือสอนเด็กในขณะนั้น พ่อแม่เพียงอยู่ใกล้ๆ ในสายตาโดยพยายามไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน
ซึ่งสถานที่สำหรับ Time-out อาจเป็นเก้าอี้ตรงมุมห้อง
ทางเดินที่ไม่มีคนรบกวน หรือห้องที่เปิดประตูไว้ ที่สำคัญก็คือ
จะต้องไม่เป็นการขังเด็กเป็นอันขาด
การใช้ time-out ที่ ได้ผลดีจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และทำทันทีที่เห็นเด็กมีพฤติกรรมที่ต้องการ
แก้ไข เช่น เมื่อเด็กทำลายข้าวของเวลาโกรธก็ต้องจับเด็กให้ไปนั่งให้สงบทันที และจะดียิ่งกว่าถ้าให้เด็กอยู่ใน
time-out ตั้งแต่เด็กเริ่มโกรธแล้วมีทีท่าว่าจะควบคุมตนเองไม่ได้
ซึ่งจะช่วยให้เด็กสงบลงง่ายกว่ารอจนกระทั่งเด็กอาละวาดเต็มที่ บางครั้งอาจใช้วิธีพูดหรือนับ
1-3 เตือนเด็กให้เด็กหยุดตนเองก่อนที่จะต้องถูกให้อยู่ใน time-out
อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ time-out มาขู่เด็ก
หรือพูดเตือนบ่อยเกินไป
Time-out ไม่ใช่การลงโทษ…
time-out ใช้เพื่อช่วยให้เด็กฝึกการควบคุมตนเอง ดังนั้นจึงใช้ได้ดีกับปัญหาพฤติกรรมใดๆ
ที่เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เช่น เมื่อเด็กเล่นรุนแรงแล้วห้ามไม่หยุด
เด็กทะเลาะแล้วลงมือตีกัน เด็กลุกเดิน หรือก่อกวนในห้องเรียน
หรือเมื่อถูกขัดใจแล้วอาละวาด วัตถุประสงค์คือเพื่อให้เด็กสงบ ไม่ถูกเร้า ใจเย็นลง
และหยุดตนเองได้ในที่สุด
time-out ไม่ใช่การลงโทษ และไม่ใช่การให้เด็กชดใช้ความผิด และไม่ควรใช้เมื่อพฤติกรรมที่เด็กไม่ควบคุมตนเองนั้นเกิดจากความกลัว
เช่น เมื่อเด็กร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน นอกจากนี้ก็ไม่ควรใช้เมื่อเด็กไม่ทำตามพ่อแม่
ในสิ่งที่เด็กยังไม่พร้อม หรือยากเกินไปสำหรับเขา หรือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรปล่อยให้เด็กรับผิดชอบเองโดยไม่สมควรบังคับ
เช่น เมื่อเด็กไม่ยอมกิน เป็นต้น
Time-out ต้องไม่นาน…
เวลาที่เหมาะในการให้เด็กอยู่ใน
time-out
ควรอยู่ระหว่าง 2-5 นาที หรืออาจใช้หลักคร่าวๆ
ว่า เท่ากับ 1 นาทีต่ออายุที่เป็นปี เช่น 3 ขวบก็ 3 นาที แต่ไม่ควรเกิน 5 นาทีสำหรับทุกอายุ
เพราะถ้านานเกินไปเด็กจะเริ่มรู้สึกต่อต้าน วัตถุประสงค์ของ time-out ไม่ใช่เพื่อการลงโทษแต่เพื่อให้เด็กสงบ และควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ดังนั้นเวลาที่ใช้จึงควรกำหนดให้คงที่
และไม่ควรเพิ่มเวลาตามความผิดที่ทำ ถ้าเด็กไม่ยอมนั่งสงบก็ไม่ควรเพิ่มเวลาให้มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่บอกเด็กว่าจะ “จับ”เวลาเมื่อเขาเริ่มสงบ
การทำเช่นนี้จะทำให้เด็กเห็นว่าการที่จะเลิกจาก time-out ได้เมื่อไรนั้นจะเป็นความรับผิดชอบของตัวเขาเอง
ให้เด็กรู้เหตุผลในการ
time
out…
เมื่อครบเวลาควรทบทวนกับเด็กสั้นๆ
ว่าเขาต้องอยู่ใน time-out
เพราะเหตุใด เช่น “พ่อให้หนูนั่งสงบตรงนี้เพราะหนูขว้างของ
คราวหลังถ้าหนูโกรธก็บอกได้นะไม่ต้องขว้างของ ตอนนี้หนูใจเย็นแล้วไปเล่นต่อได้”
แล้วให้เด็กไปมีกิจกรรมอื่นๆ ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงการสอนที่ยาว
หรือการพูดตำหนิติเตียน
ถ้าลูกไม่ยอมอยู่ใน
time-out…
ถ้าเด็กไม่ยอมนั่งสงบ
พ่อแม่ควรจับตัวเด็กให้นั่งบนเก้าอี้ที่กำหนดไว้ โดยจับทางข้างหลังเก้าอี้แล้วรวบแขน
2 ข้างของเด็กกอดไว้ เมื่อเด็กเริ่มสงบจึงปล่อยแขนแล้วเริ่มจับเวลา
เด็กอาจต่อต้านในระยะแรก แต่ถ้าปฏิบัติอย่างเอาจริง
และสม่ำเสมอเด็กก็จะยอมตามในที่สุด พ่อแม่ควรพูดชมเด็กเมื่อเขายอมนั่ง และสงบลงได้
ในบางกรณีเด็กอาจจะแสดงท่าทีว่าไม่เดือดร้อนเมื่อพ่อแม่ให้อยู่ใน time-out เช่น อาจแสดงสีหน้ายั่วยวน หรือพูดท้าทายว่าไม่สนใจ นั่นไม่ได้แปลว่าเด็กไม่เดือดร้อนจริง
และการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอของพ่อแม่ย่อมได้ผล
เริ่มใช้ time-out ได้ตั้งแต่อายุเท่าใด…
time-out สามารถใช้กับเด็กได้ตั้งแต่ปลายขวบปีแรก หรือประมาณ 9-10 เดือน เป็นต้นไป และสามารถใช้ได้ผลไปจนถึงเด็กวัยเรียน การใช้ time-out
ตั้งแต่เล็กๆ
และใช้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เด็กยอมรับวิธีการนี้ได้ดี และสามารถหลีกเลี่ยงวิธีการลงโทษที่รุนแรงในการจัดการกับปัญหาพฤติกรรมได้
เด็กส่วนใหญ่จะชอบ time-out มากกว่าการถูกลงโทษ
Time-out จะได้ผลต่อเมื่อมี time-in ด้วย…
การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของเด็กจะไม่ได้ผลเลย
ถ้ามัวแต่เพ่งเล็งที่พฤติกรรมที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้ความสนใจ พฤติกรรมที่ดี
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกอย่างเร่งรีบ พ่อแม่อาจมีเวลาไม่ค่อยพอเพียงให้กับลูกที่กำลังต้องการเอาใจใส่
ถ้าพ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูกในภาวะปกติ เช่น ขณะที่เขาเล่นดีๆ อย่างสงบ แต่จะตอบสนองต่อเมื่อลูกสร้างปัญหา
เมื่อเขาร้องโวยวาย ขว้างปาของ หรือทะเลาะกันเท่านั้น
ปัญหาพฤติกรรมเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ
ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องพยายามให้ความสนใจเด็กอย่างต่อเนื่องในเวลาปกติที่อาจ
เรียกว่า time-in
ซึ่งอาจทำได้ด้วยการอยู่ใกล้ๆ เด็ก แตะตัว โอบไหล่ พยักหน้า
หรือยิ้มให้เป็นระยะๆ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดี ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องสนใจอยู่ตลอดเวลา
แต่อาจเป็นเพียงช่วงสั้นๆ บ่อยๆ เด็กยิ่งเล็กยิ่งต้องการการแสดงความสนใจจากพ่อแม่มาก
เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้มีโอกาสเล่นด้วยตนเองตามลำพัง แต่ถึงแม้จะเติบโตขึ้นเท่าไร
เด็กก็ยังคงต้องการการพูดชม และการแสดงการยอมรับเป็นระยะๆ
ว่าการปฏิบัติของเขานั้นเป็นที่พอใจของพ่อแม่ และเมื่อเขามีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
พ่อแม่ก็ควรช่วยให้เขาพยายามควบคุมตนเอง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในความรักของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
โดย: ผศ. นพ.
วิฐารณ บุญสิทธิ
บทความ : FB Denla Rama 5
http://rugdek.com/time-out-strategy/
No comments:
Post a Comment