Monday, September 30, 2013

หยุดเจ้าตัวป่วนด้วย “Time-out”




ตั้งแต่ปลายขวบปีแรกจนถึงวัย 5-6 ขวบ เด็กๆ จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว ความเป็นตัวของตัวเอง ความคิดจินตนาการ และการเรียนรู้ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันก็จะถือตนเองเป็นใหญ่ ทั้งไม่มีความสามารถในการควบคุมตนเองได้ดีพอ อาการประเภทดื้อ ต่อต้าน ก้าวร้าว เอาแต่ใจ ขว้างปาของ แย่งของเล่น แกล้งน้อง ฯลฯ ซึ่งแม้เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ปกติตามวัย แต่ก็สามารถสร้างความปวดหัวให้แก่พ่อแม่ได้ไม่น้อย
 
และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือแก้ไขอย่างเหมาะสมแต่เบื้องต้นด้วย เพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหาที่รุนแรงยากต่อการแก้ไขภายหลัง โดยหลักสำคัญคือต้องช่วยให้เด็กๆ รู้จัก และสามารถควบคุมตนเองได้นั่นเอง

การเอาชนะ หรือทะเลาะ..ไม่ได้ช่วย

การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมจะต้องเป็นไปด้วยความสัมพันธ์ที่ดีของเด็ก และพ่อแม่ คือพ่อแม่ต้องแสดงให้เด็กเห็นว่าเขาได้รับความเข้าใจ และเห็นคุณค่า และขณะที่เขาควบคุมตนเองไม่ได้พ่อแม่ก็ต้องช่วยควบคุมให้อย่างเอาจริง และสงบ โดยไม่ใช้วิธีรุนแรงที่อาจทำให้เด็กยิ่งต่อต้าน และเอาชนะ ซึ่งจะยิ่งทำให้เด็กเลียนแบบความรุนแรง และการควบคุมพฤติกรรมก็จะเป็นไปได้ยากขึ้น

เคล็ดลับอยู่ที่ Time-out…

วิธีหนึ่งที่ได้ผลดี คือ time-out หรือ การแยกเด็กออกจากสิ่งกระตุ้นหรือความสนใจจากสิ่งรอบข้างชั่วคราว เพื่อให้เขาสงบ และควบคุมตนเองได้ เช่น เมื่อเด็ก 3 ขวบกำลังโกรธ และจะขว้างปาของ พ่อแม่อาจจับเด็กไปนั่งที่เก้าอี้มุมห้องแล้วบอกว่าตอนนี้หนูกำลังโกรธ หนูต้องมานั่งตรงนี้ให้ใจเย็นก่อนแล้วคุมให้เด็กนั่งเป็นเวลา 2-3 นาที จนสงบจึงปล่อยให้เด็กกลับไปทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ

ขณะที่เด็กถูกแยกอยู่ใน time-out บรรยากาศ จะต้องสงบ และไม่มีสิ่งกระตุ้นทั้งในทางบวก และทางลบ นั่นคือจะต้องไม่มีของเล่นให้เล่นหรือมีโทรทัศน์ให้ดู และจะต้องไม่พูดบ่น หรือสอนเด็กในขณะนั้น พ่อแม่เพียงอยู่ใกล้ๆ ในสายตาโดยพยายามไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งสถานที่สำหรับ Time-out อาจเป็นเก้าอี้ตรงมุมห้อง ทางเดินที่ไม่มีคนรบกวน หรือห้องที่เปิดประตูไว้ ที่สำคัญก็คือ จะต้องไม่เป็นการขังเด็กเป็นอันขาด

การใช้ time-out ที่ ได้ผลดีจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และทำทันทีที่เห็นเด็กมีพฤติกรรมที่ต้องการ แก้ไข เช่น เมื่อเด็กทำลายข้าวของเวลาโกรธก็ต้องจับเด็กให้ไปนั่งให้สงบทันที และจะดียิ่งกว่าถ้าให้เด็กอยู่ใน time-out ตั้งแต่เด็กเริ่มโกรธแล้วมีทีท่าว่าจะควบคุมตนเองไม่ได้ ซึ่งจะช่วยให้เด็กสงบลงง่ายกว่ารอจนกระทั่งเด็กอาละวาดเต็มที่ บางครั้งอาจใช้วิธีพูดหรือนับ 1-3 เตือนเด็กให้เด็กหยุดตนเองก่อนที่จะต้องถูกให้อยู่ใน time-out อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ time-out มาขู่เด็ก หรือพูดเตือนบ่อยเกินไป

Time-out ไม่ใช่การลงโทษ

time-out ใช้เพื่อช่วยให้เด็กฝึกการควบคุมตนเอง ดังนั้นจึงใช้ได้ดีกับปัญหาพฤติกรรมใดๆ ที่เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เช่น เมื่อเด็กเล่นรุนแรงแล้วห้ามไม่หยุด เด็กทะเลาะแล้วลงมือตีกัน เด็กลุกเดิน หรือก่อกวนในห้องเรียน หรือเมื่อถูกขัดใจแล้วอาละวาด วัตถุประสงค์คือเพื่อให้เด็กสงบ ไม่ถูกเร้า ใจเย็นลง และหยุดตนเองได้ในที่สุด

time-out ไม่ใช่การลงโทษ และไม่ใช่การให้เด็กชดใช้ความผิด และไม่ควรใช้เมื่อพฤติกรรมที่เด็กไม่ควบคุมตนเองนั้นเกิดจากความกลัว เช่น เมื่อเด็กร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน นอกจากนี้ก็ไม่ควรใช้เมื่อเด็กไม่ทำตามพ่อแม่ ในสิ่งที่เด็กยังไม่พร้อม หรือยากเกินไปสำหรับเขา หรือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรปล่อยให้เด็กรับผิดชอบเองโดยไม่สมควรบังคับ เช่น เมื่อเด็กไม่ยอมกิน เป็นต้น

Time-out ต้องไม่นาน

เวลาที่เหมาะในการให้เด็กอยู่ใน time-out ควรอยู่ระหว่าง 2-5 นาที หรืออาจใช้หลักคร่าวๆ ว่า เท่ากับ 1 นาทีต่ออายุที่เป็นปี เช่น 3 ขวบก็ 3 นาที แต่ไม่ควรเกิน 5 นาทีสำหรับทุกอายุ เพราะถ้านานเกินไปเด็กจะเริ่มรู้สึกต่อต้าน วัตถุประสงค์ของ time-out ไม่ใช่เพื่อการลงโทษแต่เพื่อให้เด็กสงบ และควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ดังนั้นเวลาที่ใช้จึงควรกำหนดให้คงที่ และไม่ควรเพิ่มเวลาตามความผิดที่ทำ ถ้าเด็กไม่ยอมนั่งสงบก็ไม่ควรเพิ่มเวลาให้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่บอกเด็กว่าจะจับเวลาเมื่อเขาเริ่มสงบ การทำเช่นนี้จะทำให้เด็กเห็นว่าการที่จะเลิกจาก time-out ได้เมื่อไรนั้นจะเป็นความรับผิดชอบของตัวเขาเอง

ให้เด็กรู้เหตุผลในการ time out…

เมื่อครบเวลาควรทบทวนกับเด็กสั้นๆ ว่าเขาต้องอยู่ใน time-out เพราะเหตุใด เช่น พ่อให้หนูนั่งสงบตรงนี้เพราะหนูขว้างของ คราวหลังถ้าหนูโกรธก็บอกได้นะไม่ต้องขว้างของ ตอนนี้หนูใจเย็นแล้วไปเล่นต่อได้แล้วให้เด็กไปมีกิจกรรมอื่นๆ ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงการสอนที่ยาว หรือการพูดตำหนิติเตียน

ถ้าลูกไม่ยอมอยู่ใน time-out…

ถ้าเด็กไม่ยอมนั่งสงบ พ่อแม่ควรจับตัวเด็กให้นั่งบนเก้าอี้ที่กำหนดไว้ โดยจับทางข้างหลังเก้าอี้แล้วรวบแขน 2 ข้างของเด็กกอดไว้ เมื่อเด็กเริ่มสงบจึงปล่อยแขนแล้วเริ่มจับเวลา เด็กอาจต่อต้านในระยะแรก แต่ถ้าปฏิบัติอย่างเอาจริง และสม่ำเสมอเด็กก็จะยอมตามในที่สุด พ่อแม่ควรพูดชมเด็กเมื่อเขายอมนั่ง และสงบลงได้

ในบางกรณีเด็กอาจจะแสดงท่าทีว่าไม่เดือดร้อนเมื่อพ่อแม่ให้อยู่ใน time-out เช่น อาจแสดงสีหน้ายั่วยวน หรือพูดท้าทายว่าไม่สนใจ นั่นไม่ได้แปลว่าเด็กไม่เดือดร้อนจริง และการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอของพ่อแม่ย่อมได้ผล

เริ่มใช้ time-out ได้ตั้งแต่อายุเท่าใด

time-out สามารถใช้กับเด็กได้ตั้งแต่ปลายขวบปีแรก หรือประมาณ 9-10 เดือน เป็นต้นไป และสามารถใช้ได้ผลไปจนถึงเด็กวัยเรียน การใช้ time-out ตั้งแต่เล็กๆ และใช้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เด็กยอมรับวิธีการนี้ได้ดี และสามารถหลีกเลี่ยงวิธีการลงโทษที่รุนแรงในการจัดการกับปัญหาพฤติกรรมได้ เด็กส่วนใหญ่จะชอบ time-out มากกว่าการถูกลงโทษ

Time-out จะได้ผลต่อเมื่อมี time-in ด้วย

การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของเด็กจะไม่ได้ผลเลย ถ้ามัวแต่เพ่งเล็งที่พฤติกรรมที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้ความสนใจ พฤติกรรมที่ดี ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกอย่างเร่งรีบ พ่อแม่อาจมีเวลาไม่ค่อยพอเพียงให้กับลูกที่กำลังต้องการเอาใจใส่ ถ้าพ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูกในภาวะปกติ เช่น ขณะที่เขาเล่นดีๆ อย่างสงบ แต่จะตอบสนองต่อเมื่อลูกสร้างปัญหา เมื่อเขาร้องโวยวาย ขว้างปาของ หรือทะเลาะกันเท่านั้น ปัญหาพฤติกรรมเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ

ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องพยายามให้ความสนใจเด็กอย่างต่อเนื่องในเวลาปกติที่อาจ เรียกว่า time-in ซึ่งอาจทำได้ด้วยการอยู่ใกล้ๆ เด็ก แตะตัว โอบไหล่ พยักหน้า หรือยิ้มให้เป็นระยะๆ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดี ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องสนใจอยู่ตลอดเวลา แต่อาจเป็นเพียงช่วงสั้นๆ บ่อยๆ เด็กยิ่งเล็กยิ่งต้องการการแสดงความสนใจจากพ่อแม่มาก เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้มีโอกาสเล่นด้วยตนเองตามลำพัง แต่ถึงแม้จะเติบโตขึ้นเท่าไร เด็กก็ยังคงต้องการการพูดชม และการแสดงการยอมรับเป็นระยะๆ ว่าการปฏิบัติของเขานั้นเป็นที่พอใจของพ่อแม่ และเมื่อเขามีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ พ่อแม่ก็ควรช่วยให้เขาพยายามควบคุมตนเอง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในความรักของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

โดย: ผศ. นพ. วิฐารณ บุญสิทธิ
บทความ : FB Denla Rama 5
http://rugdek.com/time-out-strategy/

No comments:

Post a Comment