Sunday, November 23, 2014

แม่จ๋า...หนูคันเหงือก


            ฟันซี่แรกของเด็กจะปรากฏให้เห็นเมื่ออายุราว 5-7 เดือน เวลายิ้มแต่ละทีเห็นฟันซี่เล็ก ๆ สีขาวแพลมมาเหมือนกระต่ายน้อย ใครเห็นก็อดจะเอ็นดูไม่ได้ แต่เจ้าหนูผู้เป็นเจ้าของฟันนี่สิ ใครเลยจะรู้ว่าหนูทรมานกับอาการคันเหงือกแค่ไหน เด็กอย่างหนูพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเสียด้วยสิ หนูก็เลยอยากส่งสัญญาณให้พ่อกับแม่รู้ว่า...ช่วยหนูหน่อยนะ

            
 ช่วยเอาใจใส่ดูแล กอดหนู ให้กำลังใจหนู เพื่อให้หนูเกิดความรู้สึกมั่นใจว่ามีพ่อกับแม่อยู่เคียงข้างเสมอ แม้ช่วงแรกหนูจะหงุดหงิดงอแง หรือโยเยไปบ้าง (ก็มันเจ็บเหงือกน้อยอยู่ยังไงล่ะจ๊ะ) แต่หนูก็จะรับมือและผ่านภาวะนี้ไปได้เอง

            
 ถ้าหนูเผลอไปกัดหัวนมแม่ด้วยความมันเขี้ยว อยากให้แม่เข้าใจและไม่โกรธหนู ทางที่ดีแม่ควรผลักออกและหาอย่างอื่นให้หนูกัดแทน เพื่อที่หนูจะได้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ไม่เป็นที่พึงประสงค์

            
 หาของเล่นแบบยางกัดเนื้อนิ่ม ให้หนูกัดแทะเล่น ช่วยคลายความมันเขี้ยว

            
 ใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มชุบน้ำเย็น ค่อย ๆ เช็ด นวดเบา ๆ ไปตามปุ่มเหงือกของหนูช่วยให้หนูสบายเหงือกขึ้นเยอะเลย

            
 ช่วงนี้น้ำลายของหนูจะมากกว่าปกติ และอาจไหลย้อยออกมานอกปาก หนูอยากให้แม่ใช้ผ้าสะอาดหรือสำลีชุบน้ำช่วยเช็ดทำความสะอาดรอบ ๆ ปากให้หนู

            
 ให้อาหารนิ่ม ๆ เย็น ๆ กับหนู เช่น ขนมปังแท่ง กล้วยหอม ไอศกรีม

           ไม่มีเด็กคนไหนไม่เคยผ่านประสบการณ์คันเหงือก ขอเพียงคุณแม่ช่วยเหลือถูกวิธีก็จะช่วยให้ลูกรับมือกับอาการเจ็บได้ดีขึ้นค่ะ

อย่าทำแบบนี้นะ

          
อย่าให้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัดกับหนู เพราะจะทำให้เหงือกหนูชา ก็แค่ช่วยให้หายคันเหงือกชั่วคราว แต่ไม่คุ้มเลยถ้าเกิดหนูเป็นหวัดขึ้นมาแทน

          
ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้ปวด เพราะโดยธรรมชาติแล้วหนูสามารถรับมือกับอาการฟันขึ้นนี้ได้ ยกเว้นว่าเหงือกของหนูมีอาการบวมแดงมากพ่อกับแม่ลองปรึกษาทันตแพทย์เด็กสัก นิดก็ดีจ้ะ

          
อย่าเช็ดเหงือกหนูด้วยแอลกอฮอล์ เพราะเชื่อว่าจะช่วยคลายอาการระคายเคืองได้ ซึ่งไม่จริงเลย แต่กลับจะมีผลเสียมากกว่าถ้าหนูกลืนเข้าไป

          
อย่าให้อาหารที่มีลักษณะแข็ง เช่น ผัก-ผลไม้หั่นเป็นแท่ง แล้วให้หนูถือกัดเล่น เพราะถ้าหนูใช้เหงือกกัดจนขาด เจ้าผักผลไม้นั้นอาจหลุดไปติดที่หลอดลมของหนูได้

เรื่อง :  ข้าวโพดสาลี
แหล่งที่มา  modernmom, http://baby.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

No comments:

Post a Comment