Tuesday, October 16, 2012

ฉี่รดที่นอน



มีคำแนะนำจาก ผศ.นพ.ศิริไชย หงส์สงวนศรี หน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ว่าด้วยการปัสสาวะรดที่นอนในเด็กว่า เด็กที่มีอาการปัสสาวะรดที่นอนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ส่วนน้อยอาจมีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบประสาทที่ควบคุมได้

โดยทั่วไป ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและตรวจปัสสาวะหาความผิด ปกติเหล่านี้ หากตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ คือมีอาการปัสสาวะรดที่นอนที่ไม่พบสาเหตุทางกายควรปฏิบัติดังนี้ หรืออาจจะลองปฏิบัติตามนี้ก่อนไปพบแพทย์ดูก่อนก็ได้

พ่อแม่ควรทราบ ว่าปัญหาปัสสาวะ รดที่นอนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 15 ของเด็กอายุ 5 ขวบ ยังปัสสาวะรดที่นอน และในจำนวนนี้จะหยุดปัสสาวะรดที่นอนได้เอง ร้อยละ 15 ต่อปี เด็กไม่อยากให้ตนเองปัสสาวะรดที่นอนเหมือนกัน แต่เขาไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ จึงไม่ได้เป็นความผิดของเด็ก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการลงโทษโดยไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านจิตใจ แต่เด็กอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจจากการปัสสาวะรดที่นอน ได้แก่ ความรู้สึกอับอาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง วิตกกังวล และปัญหาด้านสังคม เป็นต้น

คำแนะนำในการช่วยเหลือเด็กที่ปัสสาวะรดที่นอนโดยทั่วไป 

1. การจูงใจให้เด็กต้องการควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง ด้วยการพูดถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่น พ่อแม่รู้สึกดีใจ เด็กสามารถไปนอนนอกบ้านหรือเข้าค่ายกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องกังวลใจ รวมทั้งความรู้สึกมั่นใจในตนเอง เป็นต้น  แต่โดยทั่วไปเด็กมักต้อง การหยุดปัสสาวะรดที่นอนเองอยู่แล้ว  

2. งดอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน โดยเฉพาะอาหาร และเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำอัดลมบางชนิด และชาเขียว เป็นต้น เนื่องจากสารกาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และเครื่องดื่มเหล่านี้มีกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบประมาณ 10 ม.ก./100 ม.ล.

3. ให้ปัสสาวะก่อนเข้านอนทุกคืน 

4. เน้นให้การฝึกควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนเป็นความรับผิดชอบของเด็กเอง ตั้งแต่ให้บันทึกอาการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง ลุกขึ้นมาปัสสาวะเองถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะ และให้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนหรือทำความสะอาดเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอน เด็กจำนวนหนึ่งปัสสาวะรดที่นอนลดลงมากหลังจากให้เริ่มบันทึกด้วยตนเอง

5. งดการปลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน เพราะอาจทำให้เด็กหยุดปัสสาวะรดที่นอนได้ช้ากว่าไม่ปลุก และมักทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และเด็ก

6. ใช้หลักพฤติกรรม บำบัด คือให้แรงเสริมทางบวก (positiverein forcement) เมื่อเด็กสามารถควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้ โดยให้เด็กติดสติ๊กเกอร์รูปที่ตนเองชอบลงบนปฏิทินในวันที่ไม่ปัสสาวะรดที่ นอน และพ่อแม่ควรให้รางวัลด้วยการพูดชมเชย ของเล่น หรือสิทธิประโยชน์บางอย่าง เป็นต้น

พ่อแม่ต้องช่วยติดตามการเปลี่ยน แปลงทุกสัปดาห์ และพิจารณาให้รางวัลที่มีคุณค่ามากขึ้นถ้าเด็กควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้มากขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไป

ในกรณีที่เด็กอายุมากกว่า 7-8 ขวบแล้วยังไม่หยุดปัสสาวะรดที่นอน มีวิธีการรักษา 2 แบบ คือการใช้อุปกรณ์สัญญาณปลุกเมื่อปัสสาวะรดที่นอน และการใช้ยารักษา

การใช้อุปกรณ์สัญญาณปลุก (enuresis alarm) เป็นวิธีการรักษาที่อาศัยพื้นฐานความรู้จากทฤษฎีการเรียนรู้ คือหากพ่อแม่สามารถทำให้เด็กตื่นนอนทุกครั้งเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม (ปัสสาวะรดที่นอน) ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เด็กจะตื่นได้เองเมื่อปวดปัสสาวะ
 
เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลมากที่สุด การรักษาโดยใช้วิธีนี้ควรใช้ต่ออีกระยะหนึ่งหลังจากหยุดปัสสาวะรดแล้วจึงได้ ผลดี เป็นวิธีการรักษาที่แนะนำให้เลือกใช้เป็นลำดับแรกก่อนการรักษาด้วยยา

การปลุกเด็กทุกคืนก่อนที่เด็กจะปัสสาวะรดที่นอน ไม่ได้เป็นการทำให้เด็กตื่นตอนที่กระเพาะปัสสาวะเต็มพอดี จึงไม่สามารถหยุดอาการปัสสาวะรดที่นอนได้ 

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
 
มติชน


No comments:

Post a Comment