เด็กในวัยอนุบาลเป็นวัยที่กำลังน่ารัก
จึงเป็นที่รักและเป็นขวัญใจของคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย
หรือผู้ใหญ่ในครอบครัว ความรักทำให้ผู้ใหญ่ตามใจเด็กและมองข้ามนิสัยเอาแต่ใจ หรือ
ขี้งอนที่เกิดขึ้นกับลูกวัยนี้ได้ค่ะ
โดยธรรมชาติของเด็กๆ
อนุบาล มักนำอารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
จึงแสดงพฤติกรรมออกตามความต้องการของตัวเอง แต่เด็กในวัยนี้
จะเริ่มเรียนรู้และรับรู้อารมณ์ของผู้อื่น รู้จักปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น
แต่ถ้าได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง ถูกวิธี เมื่อเติบโตขึ้น
เขาจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
การเลียนแบบจากผู้ที่อยู่ใกล้
อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ลูกมีนิสัยขี้งอนและขี้น้อยใจค่ะ เนื่องจากเด็กๆ เลียนแบบผู้ที่อยู่ใกล้
เวลาแก้ไขนิสัยของลูก ถ้ามีพี่น้องที่ขี้งอน คุณแม่ก็ควรแก้ไขควบคู่กันไปนะคะ
การแก้ไขพฤติกรรมของลูกต้องใช้เวลา
ใช้วิธีที่มีทิศทางเดียวกันทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
ใช้ความอดทนต่ออารมณ์ที่เด็กแสดงออก ครูหมูขอแนะนำดังนี้ค่ะ
· ฟังดนตรี
ร้องเพลง หรือ ออกกำลังกาย ให้ลูกได้ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี
กิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวมาจะช่วยให้ลูกมีอารมณ์ที่ผ่อนคลาย และมีอารมณ์ดีได้ค่ะ
· เลือกนิทานที่มีตัวละครเกี่ยวกับนิสัยขี้งอน
เล่าให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับเรื่องราวในนิทาน ใช้คำสอนในนิทานช่วยขัดเกลานิสัยของลูกได้
· ฝึกให้ลูกรับรู้อารมณ์ของตนเอง
ครูหมูเคยถ่ายภาพเด็กที่ชอบร้องไห้ เวลาที่เขาเลิกร้องแล้วนำภาพนั้นมาให้เขาดู
เขาก็ไม่ร้องไห้อีกเลย ลองใช้วิธีนี้ดูก็ได้ค่ะ
คุณแม่อาจนำวีดีโอที่มีตัวการ์ตูนนิสัยขี้งอน ขี้น้อยใจมาให้ดู
พูดคุยกับลูก คุณแม่อาจจะได้รู้ความรู้สึกของลูกด้วยนะคะ
· ให้บทเรียนกับลูก
เป็นบทเรียนที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนโดยจัดโอกาสให้ลูกเล่นรวมกลุ่มเด็กในวัยอนุบาล
ถ้าลูกขี้งอน ขี้น้อยใจ เพื่อนๆ ก็จะไม่เล่นด้วยค่ะ
ใช้โอกาสที่เกิดขึ้นแนะนำลูกให้ปรับตัว ปรับอารมณ์ เพื่อจะได้เล่นกับเพื่อนๆ
ให้สนุก
· ถ้าลูกแสดงพฤติกรรมขี้น้อยใจ
ผู้ใหญ่ต้องแข็ง ไม่ควรให้ความสนใจจนเกินเหตุ แสดงพฤติกรรมของผู้ใหญ่ตามปกติที่เคยทำ
เด็กจะค่อยๆ รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำไม่ช่วยให้คนสนใจ แต่ถ้าลูกงอนน้อยลง
ไม่งอนเมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ รู้จักรอคอย ต้องรีบชมเชยเด็กทันที เขาก็จะค่อยๆ
ทำตามค่ะ
เด็กๆ
เรียนรู้ได้ดีค่ะ ว่าจะแผลงฤทธิ์กับใครได้ ผู้ใหญ่ต้องตกลงพูดคุยกันในเรื่องวิธีแก้ไขพฤติกรรมให้มีทิศทางเดียวกัน
พูดคุยโดยใช้เหตุผลกับลูกในขณะที่ลูกมีอารมณ์ที่ดี ให้ลูกได้บอกความรู้สึกกับพ่อแม่
ความใกล้ชิด ความผูกพัน ความรัก เป็นตัวตั้ง
ผลลัพธ์ที่ได้เราจะได้ลูกที่เป็นเด็กคิดเชิงบวกค่ะ
แหล่งที่มา คัดลอกบทความส่วนใหญ่มาจากนิตยสาร Mother & Care
No comments:
Post a Comment